เครื่องตรวจเบาหวาน ยี่ห้อไหนดี ? แนะนำแบรนด์ฮิตและวิธีเลือกซื้อ
สำหรับในผู้ป่วยเบาหวานนั้น การดูแลสุขภาพของตัวเองสำคัญเป็นอย่าง เพราะจะต้องรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแล้วการทานอาหารหวาน หรือ ของหวาน จึงเป็นเรื่องที่ต้องลด ต้องงดรับประทาน เพราะถ้าไม่อยากให้ค่าน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นตามมาด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าค่าน้ำตาลในเลือดตก ก็จะมีอาการอ่อนเพลีย วูบ บอกเลยว่าส่งผลถึงอันตรายต่อผู้ป่วยเป็นอย่างมาก แต่ในบางรายอาจจะไม่สามารถรู้ได้ว่ารับประทานอาหารที่มีค่าน้ำตาลสูงเกินกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ซึ่งในผู้ป่วยเบาหวานนั้นจำเป็นมากที่จะต้องมี เครื่องตรวจเบาหวาน เอาติดบ้านเอาไว้ เพราะคุณสมบัติการทำงานนั้นเหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานโดยเฉพาะ แต่ทว่าวันนี้พวกเราจะมาหาคำตอบสำหรับผู้ที่เริ่มต้นรู้จักกับโรคนี้กัน ทั้งวิธีเลือกซื้อ รวมไปถึงแบรนด์ยอดฮิตด้วย ว่าจะสามารถใช้งานได้ดีแค่ไหน มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันอย่างไร ข้อมูลทั้งหมดติดตามอย่างครบถ้วนได้ในบทความนี้
เครื่องตรวจเบาหวาน คืออะไร
สำหรับเครื่องตรวจเบาหวาน จะเรียกอย่างเป็นทางการว่า เครื่องวัดน้ำตาล จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบระดับน้ำตาลในเลือก เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานนั้น หมั่นดูแลสุขภาพ วัดค่าน้ำตาลของตัวเองมากขึ้น โดยในปัจจุบันนี้ การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด สามารถทำได้เองที่บ้าน อีกทั้งเครื่องตรวจนั้นยังสามารถหาซื้อได้ง่ายมาก ตามร้านขายยา หรือ ร้านที่ขายเกี่ยวกับอุปกรณ์เวชภัณฑ์ทั่วไป แต่ทว่าคุณสมบัติการใช้งานของเครื่องจะต่างกัน รวมทั้งยี่ห้อ และ ราคาด้วย
รู้จัก ค่าระดับน้ำตาลในเลือด
ก่อนอื่นเลยสำหรับผู้ที่เพิ่มเริ่มต้นเกี่ยวกับการรู้จักโรคเบาหวาน ก็จะต้องทำความรู้จักกับระดับน้ำตาลในเลือดกันก่อน โดยระดับน้ำตาลในเลือดที่ปกติ อยู่ที่ประมาณ 70-100 มิลลิกรัม ต่อ เดซิลิตร ซึ่งถ้าหากว่าค่าที่ตรวจได้นั้นสูงกว่า 100 มิลลิกรัม ต่อ เดซิลิตร ขึ้นไปนั้นอาจจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน แต่ทว่าระดับน้ำตาลในเลือดของเรานั้นอาจจะแต่งต่างกันไป จะขึ้นอยู่กับอายุ รวมทั้งสุขภาพของแต่ละคน สำหรับการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเอาหวานชนิดที่ 1 กับ 2 นั้น ระดับน้ำตาลก่อนที่จะรับประทานอาหารควรจะอยู่ที่ประมาณ 80-130 มิลลิกรัม ต่อ เดซิลิตร และ ระดับน้ำตาล หลังจากที่รับประทานอาหารแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมงควรน้อยกว่า 180 มิลลิกรัม ต่อ เดซิลิตร นั่นเอง
นอกจากการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดปกติแล้ว ยังมีการตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสที่เรียกว่า Fasting Plasma Glucose หรือ FPG เป็นการทดสอบน้ำตาลในเลือด หลังจากงดอาหาร เครื่องดื่ม ยกเว้นได้แต่น้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว เป็นเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนการทดสอบ โดยจะทดสอบก่อนรับประทานอาหารเช้า เพื่อตรวจสอบวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน หรือไม่ โดยค่าปกตินั้นควรจะอยู่ที่น้อยกว่า 100 มิลลิกรัม ต่อ เดซิลิตร แต่ถ้าหากว่ามีระดับวัดได้แล้วอยู่ที่ 100-125 มิลลิกรัม ต่อ เดซิลิตร อาจจะบ่งบอกได้ว่าเริ่มมีอาการภาวะก่อนเบาหวานนั่นเอง แต่ถ้าหากว่าสูงถึง 126 มิลลิกรัม ต่อ เดซิลิตร หมายความว่าคุณเป็นโรคเบาหวานแน่นอน
ทำความรู้จักประเภทของโรคเบาหวาน
เบาหวาน เป็นโรคที่แยกออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
- เบาหวานชนิดที่ 1 จะเป็นโรคเรื้อรัง ที่ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลิน ออกมาให้เพียงพอต่อระดับน้ำตาลในเลือด จึงส่งผลกระทบต่อการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย โดยผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้ จะใช้ยาอินซูลินตามที่แพทย์สั่ง อีกทั้งจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อลดความเสียงต่อเกิดเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
- เบาหวานชนิดที่ 2 สำหรับผู้ป่วยในภาวะนี้ จะต้องให้ความสำคัญเรื่องอาหารเป็นอย่างมาก เพราะมันจะเกิดผลกระทบโดยตรงต่อระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าผู้ป่วยเบาหวานเลือกรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ก็จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือด เส้นประสาทเสียหาย รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง และ ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น
วัดน้ำตาลในเลือด ช่วยอะไรบ้าง ?
แน่นอนเลยว่า การวัดค่าระดับน้ำตาลในเลือด จะเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานเป็นอย่างมาก เพราะจะได้รู้ถึงระดับน้ำตาลในเลือดของตัวเอง ว่ามีค่าสูง หรือ ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น พร้อมทั้งติดตามผลของยารักษาโรคเบาหวานที่ใช้อยู่ในปัจจุบันว่าได้ผลดีหรือไม่ แถมยังนำค่าระดับน้ำตาลที่ตรวจได้ไปประเมินผลการรักษาจากแพทย์ได้อีกด้วย
อีกหนึ่งประโยชน์ของการวัดค่าน้ำตาลในเลือด สำหรับบางคนที่อยากดูแลตัวเอง เปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร การออกกำลังกาย ก็สามารถตรวจได้ว่ามีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดหรือไม่ แถมยังช่วยป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น ก่อนที่ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูง หรือ ต่ำเกินไป
วัดค่าน้ำตาลในเลือด ทำได้เมื่อไหร่
สำหรับการตรวจวัดค่าน้ำตาลในเลือดนั้น จะขึ้นอยู่กับชนิดของโรคเบาหวาน ว่าคุณอยู่ในชนิดที่ 1 หรือ 2 ได้ดังต่อไปนี้
1.การตรวจน้ำตาลในเลือดของ เบาหวานชนิดที่ 1
จะต้องตรวจเลือดในน้ำตาลประมาณ 4-10 ครั้งต่อวัน โดยจะตรวจในช่วง
- ก่อนรับประทานอาหาร
- ก่อน-หลัง การออกกำลังกาย
- ก่อนนอน
สำหรับผู้ป่วยที่มีการเปลี่ยนการใช้ยา หรือ การเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันที่เคยทำอยู่ ควรที่จะตรวจน้ำตาลในเลือดให้บ่อยขึ้น อีกทั้งจะต้องจดบันทึกข้อมูล เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
2.การตรวจน้ำตาลในเลือดของ เบาหวานชนิดที่ 2
สำหรับผู้ป่วยในประเภทนี้ ที่ต้องรักษาด้วยอินซูลิน แพทย์จะแนะนำให้ตรวจน้ำตาลในเลือดหลายครั้งต่อวัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดของอินซูลินที่ใช้ จะมีการทดสอบก่อนรับประทานอาหาร ก่อนนอน ซึ่งหากฉีดอินซูลินหลายครั้ง อาจจะต้องทดสอบก่อนรับประทานอาหารเช้า กับ อาหารเย็นด้วย ส่วนผู้ป่วยรายไหนที่ไม่ได้รักษาด้วยอินซูลิน ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจน้ำตาลในเลือดทุกวัน
จากที่ได้กล่าวไปทั้งหมดข้างต้นเกี่ยวกับผู้ป่วยเบาหวานแล้ว บุคคลที่ควรใช้เครื่องตรวจน้ำตาล จึงเป็นบุคคลที่ต้องการใช้ผลนี้จริง เช่น ผู้ที่เคยมีประวัติน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือ ผู้ป่วยเบาหวานทุกชนิด ผู้ป่วยเบาหวานขณะตั้งครรภ์ รวมทั้งผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่น ๆเช่น โรคหัวใจ โรคปวด โรคไต และ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อตรวจสุขภาพเบื้องต้น แต่การเลือกซื้อเครื่องตรวจน้ำตาล ก็จะต้องมีเทคนิค มีวิธีการตรวจสอบด้วย ซึ่งวันนี้พวกเราก็ไม่พลาดที่จะมาแนะนำกัน
เทคนิคการเลือกซื้อเครื่องตรวจเบาหวาน
อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่จะไม่รู้ไม่ได้เลยเกี่ยวกับการเลือกซื้อ เครื่องตรวจเบาหวาน เพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด เพราะในปัจจุบัน มีหลากหลายแบรนด์ หลายยี่ห้อ เพื่อความมั่นใจในการซื้อเครื่อง BGM ล่ะก็ บอกเลยว่าจะต้องเลือกซื้อในความแม่นยำของค่าน้ำตาลในเลือดที่วัดได้ เพราะจะส่งผลให้การประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเทคนิคในการเลือกซื้อดังต่อไปนี้
1.จะต้องได้รับการรับรองมาตรฐาน
เครื่องตรวจน้ำตาลหรือ เครื่อง BGM จะต้องจำหน่ายโดยร้านที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะต้องเป็นร้านขายยา หรือ ร้านขายอุปกรณ์การแพทย์ ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขภาพ มาตรฐาน ISO 13485 ซึ่งเป็นมาตรฐานในด้านคุณภาพเครื่องมือแพทย์ รวมทั้ง มาตรฐาน อย. ที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งนี่คือจุดแรกเลยที่จะต้องดูสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเครื่องตรวจวัดค่าระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าไม่มีการรับรองมาตรฐานควรไปแหล่งขายอื่นจะดีมากกว่า เพราะการบริการหลังการขาย หรือ การติดต่อส่งซ่อมจะได้มีสถานที่ หรือ บริษัทที่รับส่งซ่อมด้วย จะได้รวดเร็ว และ ง่ายด้วย
2.เลือกซื้อเครื่องใช้งานง่าย
สำหรับการเลือกซื้อเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด จะต้องเลือกเครื่องที่อ่านค่าน้ำตาลอัตโนมัติ ไม่ต้องมีการใส่โค้ด หรือ มาตั้งเซ็ตเครื่องให้มันยุ่งยาก เพราะว่าจะทำให้ผู้ป่วยสูงวัย ไม่สามารถที่จะใช้งานเองได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลูกหลายอาจจะต้องกลับมาดูแลเป็นประจำ แต่ทว่าเป็นเครื่องที่ใช้งานง่าย บอกได้เลยว่าผู้ป่วยจะสามารถดูแลตัวเองได้
3.ใช้เลือดน้อย อ่านค่าเร็ว
เลือกเครื่องตรวจวัดน้ำตาล ที่ใช้ตัวอย่างเลือดที่ไม่เกิน 1 ไมโครลิตร ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้ป่วยจะได้ไม่ต้องเจาะปลายนิ้วลึก เพราะเสี่ยงที่จะต้องเจาะซ้ำ ถ้าหากว่าเลือดไม่พอ ก็จะต้องเจาะปลายนิ้วที่ลึกขึ้น ดังนั้นการใช้เลือดน้อยก็จะทำให้ลดความเจ็บปวดในการเจาะเลือดได้อีกด้วย เพราะว่าใน 1 วันนั้นผู้ป่วยอาจจะต้องเจาะเลือดหลายครั้ง เครื่องตรวจก็ควรจะอ่านค่าได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที เพราะจะช่วยให้ประหยัดเวลาได้ดีด้วย
4.อุปกรณ์ครบ พร้อมใช้งาน
การซื้อเครื่องตรวจเบาหวาน ก็ควรที่จะมาพร้อมกับอุปกรณ์ตรวจแบบครบชุด ไม่ว่าจะเป็น ปากกาเจาะเลือด เข็ม รวมทั้งแผ่นตรวจ ควรพร้อมใช้งาน ไม่ควรมีส่วนใดหายไป เพราะผู้ซื้อก็จะต้องไปซื้อเพิ่มเอง ยิ่งไปกว่านั้นถ้าแผ่นตรวจเป็นแบบชนิดเดียวกับเครื่อง ที่ร้านซื้อเครื่องก็ควรจะมีขายด้วย ต้องตรวจสอบจุดนี้ให้ดี
5.ฟังก์ชั่นต่าง ๆ พร้อมใช้งาน
สำหรับเครื่องตรวจเบาหวาน ก็จะต้องมีฟังก์ชั่นที่พร้อมใช้งาน รวมทั้งมีฟังก์ชั่นพิเศษอย่าง สามารถบันทึกผลการวัดน้ำตาลเอาไว้ดูย้อนหลังได้ พร้อมหน้าจอสว่าง ตัวเลขอ่านค่าง่าย โดยจะทำให้ผู้สูงวัย หรือ ผู้ช่วย อ่านค่าได้ชัดเจนมากขึ้น
วิธีใช้งาน เครื่องตรวจเบาหวาน
วิธีการใช้งานเครื่องตรวจเบาหวานนั้น จำเป็นจะต้องทำเป็นขั้นตอน เพื่อการอ่านค่าที่แม่นยำ ถูกต้อง ดังนั้นแล้วควรที่จะมีขั้นตอนการใช้งานดังต่อไปนี้
1.ล้างมือให้สะอาดก่อนทำการตรวจ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ การปนเปื้อนจากการสัมผัส อาจจะทำให้การอ่านค่าผิดพลาดได้
2.ใส่แถบทดสอบลงในเครื่องวัดน้ำตาล
3.นำเข็ม หรือ ปากกาที่ใช้สำหรับเจาะเลือดโดยเฉพาะ จิ้มที่บริเวณปลายนิ้ว
4.บีบหยดเลือดลงบนแถบที่ใช้ทดสอบ
5.รอผลการทดสอบ โดยปกติ 1 นาที
6.จดผลบันทึกในการทดสอบวัดระดับน้ำตาลในเลือดทุกครั้ง
7.ให้ทิ้งเข็มที่เจาะเลือดใช้แล้ว ในที่เหมาะสม เก็บใส่ภาชนะที่มิดชิดเช่น ขวด แล้วนำไปทำลาย
สำหรับวิธีการตรวจนั้น จะมีบอกอยู่ในคำแนะนำของผลิตภัณฑ์ของแต่ละยี่ห้อ ข้อสำคัญเลยก็คือ เครื่องตรวจเบาหวาน จะต้องใช้ 1 คน ต่อ 1 เครื่องเท่านั้น ไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่น หรือ คนในครอบครัว เพราะอาจะเสี่ยงในเรื่องของการแพร่เชื้อต่าง ๆ ได้ โดยแบรนด์ที่ได้รับความนิยมก็มักจะมีคนใช้มากที่สุด ส่วนเรื่องราคาก็อยู่ที่งบประมาณของแต่ละคน
เครื่องตรวจเบาหวาน ยี่ห้อไหนดี ? แนะนำ 5 แบรนด์ฮิต
เมื่อได้อ่านมาถึงจุดนี้ก็บอกได้เลยว่าพวกเราได้รวบรวม เครื่องตรวจเบาหวาน 5 แบรนด์ยอดนิยม มาแนะนำฟังก์ชั่น พร้อมกับจุดเด่นพิเศษเบื้องต้น พร้อมทั้งรายละเอียดของเครื่อง ซึ่งจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด แบรนด์ AP-Plus
สำหรับแบรนด์ AP-Plus จะเป็นเครื่องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดที่มีขนาดกะทัดรัดไม่ใหญ่มาก โดยตัวเครื่องจะมีจุดเด่นที่ มีการแสดงผลการทดสอบใน 6 วินาทีเท่านั้น พร้อมทั้งจะบันทึกค่าการทดสอบอัตโนมัติได้ถึง 960 ครั้ง พร้อมทั้งบอกวัน เวลา ที่วัดระดับน้ำตาล โดยเรียงลำดับก่อน- หลัง ให้ผู้ใช้งานด้วย
ซึ่งในชุดนี้จะประกอบได้ด้วย ตัวเครื่องวัดระดับน้ำตาล ,แผ่นวัดระดับ 10 แผ่น, เข็มเจาะเลือด 10 เล่ม,ปากกาเจาะเลือด 1 ด้าม และ กระเป๋าใส่เครื่องวัด 1 ใบ มีคู่มือการใช้งานครบ ส่วนราคาเครื่องจะอยู่ที่ประมาณ 590 บาท
2.เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด GlucoLeader Enhance
สำหรับแบรนด์ GlucoLeader Enhance จะมีขนาดพกพา แต่หน้าจอแสดงผลมีขนาดใหญ่ อ่านค่าผลการตรวจได้ง่าย ใช้ประมวลผลประมาณ 8 วินาที บันทึกค่าวัดได้ 150 ครั้ง ตัวเครื่องนี้มีระบบปิดเองอัตโนมัติ ใน 3 นาที หากไม่มีการใช้งานเครื่อง
นอกจากตัวเครื่องแล้วก็ยังมีแผ่นตรวจที่บรรจุในชวดสีชา มีอุปกรณ์การเจาะให้ครบ พร้อมกระเป๋าด้วย ในราคา 790 บาท
3.เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด GlucoSure Autocode
สำหรับแบรนด์ GlucoSure Autocode นี้จะมีจุดเด่นที่เห็นตัวเลขได้อย่างชัดเจน เพราะมีหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ โดยตัวเครื่องสามารถประมวลผลเป็นค่าเฉลี่ยได้ใน 7 วัน 14 วัน และ 30 วัน โดยบันทึกค่าได้ 300 ครั้ง
สำหรับตัวเครื่องจะมาพร้อมกับอุปกรณ์ที่ครับชุด ไม่ว่าจะเป็น แผ่นตรวจ 25 แผ่น,เข็มเจาะเลือด 25 เล่ม,ปากกาเจาะเลือด 1 ด้าม และ กระเป๋าใส่อุปกรณ์ อีกทั้งตัวเครื่องยังมีการรับประกันตลอดการใช้งาน พร้อมกับราคาประมาณ 990 บาท
4.เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด Exactive Vital
สำหรับจุดเด่นของแบรนด์ Exactive Vital ก็คือ การอ่านค่าเร็ว เพราะ เป็นเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือด ที่อ่านค่าได้ภายใน 5 วินาทีเท่านั้น อีกทั้งจอแสดงผลที่มีขนาดใหญ่ เห็นตัวเลขได้ชัดเจน มีหน่วยความจำเก็บค่าวัดได้ถึง 500 หน่วย มีระบบการทดสอบที่บอกได้ว่า เป็นการตรวจก่อน หรือ หลัง ทานอาหาร
สำหรับในชุดตรวจจะประกอบไปด้วยอุปกรณ์ที่ครบครัน แผ่นทดสอบ เข็มเจาะ รหัสชิป อุปกรณ์เจาะเลือด พร้อมทั้งคตู่มือการใช้งาน รับประกันตัวเครื่อง 5 ปี ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 690-790 บา
5.เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด Lumina OK Meter
สำหรับจุดเด่นของแบรนด์ Lumina OK Meter จะเป็นเครื่องตรวจจากเยอรมัน ตัวเครื่องสามารถเสียบแผ่นตรวจเลือดเข้าไปได้เลยไม่ต้องใช้รหัส อ่านผลตรวจภายใน 6 วินาที พร้อมทั้งบันทึกข้อมูลได้มากถึง 250 ครั้ง มีระบบตั้งค่าการเตือนให้ตรวจในครั้งต่อไปได้ถึง 4 ครั้ง หน้าจอแสดงผลใหญ่ มีโหมด Blacklight เหมาะสำหรับการตรวจในที่แสงสว่างมากเกินไป
อุปกรณ์การตรวจมีให้ครบชุด ไม่ว่าจะเป็น แผ่นตรวจ เข็มเจาะ น้ำยาทดสอบถ่าย กระเป๋าพกพา การรับประกันตัวเครื่องตลอดการใช้งาน ราคาเซ็ตเล็กเริ่มต้นที่ประมาณ 1,000 บาท
สำหรับทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ เครื่องตรวจเบาหวาน พร้อมทั้ง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการใช้งานเครื่อง การตรวจสอบเครื่อง วิธีการใช้ ข้อแนะนำต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดที่พวกเราได้รวบรวมมา นับได้ว่าเป็นสาระที่ดีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือ ผู้ดูแล ที่จะต้องเข้าใจในโรคนี้ ว่ามีกี่ชนิด ควรใช้เครื่องแบบไหน แต่ข้อสำคัญก็คือ การซื้อเครื่องตรวจเบาหวาน จะต้องซื้อในร้านขายยา หรือ ร้านเวชภัณฑ์ชั้นนำ มีการรับประกันสินค้า การเปลี่ยน ซ่อม ไม่ควรหลงเชื่อการหลอกขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต ควรที่จะซื้อด้วยตัวเอง สำหรับเครื่องตรวจวัดน้ำตาลในเลือดของแต่ละแบรนด์ ที่พวกเราแนะนำ ก็นับได้ว่าเป็นแบรนด์ยอดนิยมใช้งานง่าย สุดท้ายนี้ พวกเราหวังว่าข้อมูลในวันนี้จะเป็นเรื่องดี ๆ ให้กับทุกคน สวัสดีครับ
อ้างอิงจาก
เครื่องวัดน้ำตาล คืออะไร ใช้งานอย่างไร – Hello Khunmor
เครื่องตรวจน้ำตาล เครื่องตรวจเบาหวาน เลือกซื้ออย่างไรให้ได้ของดีมีคุณภาพ?!? (allwellhealthcare.com)
เครื่องวัดน้ำตาล ยี่ห้อไหนดี ปี 2562 ราคาไม่เกิน 1000 บาท (kapook.com)
เครื่องตรวจน้ำตาล เครื่องตรวจเบาหวาน เลือกซื้ออย่างไรให้ได้ของดีมีคุณภาพ?!? (allwellhealthcare.com)