การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หลายคนอาจคิดว่าเบาหวานเป็นแค่เรื่องของน้ำตาลสูงนิดหน่อย กินยาก็หาย แต่ความจริงแล้ว ถ้าปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปนาน ๆ มันอาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่กับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ, ไตเสื่อม, หรือสูญเสียการมองเห็นได้ แล้วทำไมการควบคุม เลือกอาหารลดน้ำตาลในเลือด ถึงสำคัญนัก? เพราะน้ำตาลในเลือดเปรียบเสมือนพลังงานหลักที่ร่างกายเราใช้ แต่ถ้ามากเกินไป มันจะกลายเป็นพิษต่อร่างกายแทนครับ การควบคุมน้ำตาลให้สมดุลจึงไม่ใช่แค่ช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นในแต่ละวัน แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาระยะยาวที่อาจตามมา
ในบทความนี้ จึงอยากชวนทุกคนมาปรับพฤติกรรมการกินกัน หลายคนอาจคิดว่า “เฮ้อ…เบาหวานต้องงดของอร่อยหมดเลยหรือเปล่า?” จริง ๆ แล้วไม่ต้องถึงขนาดนั้น เราแค่ต้องรู้จักเลือกกินอาหารที่ช่วยให้ร่างกายควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้น พร้อมทั้งจัดสมดุลในแต่ละมื้อให้เหมาะสม วันนี้เราจะพาไปรู้จักอาหารที่เหมาะสำหรับคนเป็นเบาหวานและวิธีจัดการมื้ออาหารแบบง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ อย่ากังวลไป ถ้าเราค่อย ๆ ปรับตัวไปทีละนิด รับรองว่าระดับน้ำตาลในเลือดจะดีขึ้น และสุขภาพโดยรวมก็ดีขึ้นด้วยแน่นอน เรามาเริ่มต้นดูแลตัวเองไปพร้อมกันเลย!
เลือกอาหารลดน้ำตาลในเลือด มีอะไรบ้างนะ
ผู้ป่วยเบาหวานต้องการอาหารที่เหมาะสมในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและเฝ้าระวังไม่ให้โรคลุกลาม มาดูกันว่าอาหารประเภทไหนที่สามารถช่วยได้บ้าง พร้อมทั้งเคล็ดลับที่ทำได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน
ผักผลไม้ไฟเบอร์สูง ตัวช่วยสำคัญในการชะลอการดูดซึมน้ำตาล
ไฟเบอร์จากผักและผลไม้ ไม่เพียงช่วยเรื่องระบบขับถ่าย แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมน้ำตาลอีกด้วย สารอาหารนี้ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลไม่พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว
- บรอกโคลี: มีไฟเบอร์ประมาณ 2.6 กรัมต่อ 100 กรัม ช่วยชะลอการปล่อยน้ำตาล
- ผักโขม: ไฟเบอร์สูงถึง 2.2 กรัมต่อถ้วย ช่วยลดการดูดซึมแป้ง
- แครอท: 3.6 กรัมต่อถ้วย มีทั้งไฟเบอร์และเบต้าแคโรทีน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
- เบอร์รี่: เช่น สตรอว์เบอร์รี่และบลูเบอร์รี่ มีไฟเบอร์ 3-4 กรัมต่อถ้วย และน้ำตาลธรรมชาติที่ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง
นอกจากช่วยควบคุมน้ำตาล ไฟเบอร์ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน เหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนักและควบคุมแคลอรี่
ธัญพืชไม่ขัดสี แหล่งพลังงานที่ไม่กระทบระดับน้ำตาล
ธัญพืชไม่ขัดสี มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI) ช่วยให้พลังงานค่อย ๆ ปล่อยออกมา ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูง จึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำตาลในเลือด
- ข้าวกล้อง: มีไฟเบอร์ประมาณ 1.8 กรัมต่อ 100 กรัม และค่าดัชนีน้ำตาลประมาณ 50
- ควินัว: มีโปรตีนสูงถึง 8 กรัมต่อถ้วย และไฟเบอร์ 5 กรัม ช่วยรักษาระดับน้ำตาลให้สมดุล
- ข้าวโอ๊ต: อุดมไปด้วยไฟเบอร์ชนิดเบต้ากลูแคน ซึ่งช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร
การเลือกธัญพืชไม่ขัดสีมาแทนข้าวขาว หรือขนมปังขาวในแต่ละมื้อ สามารถลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างมีนัยสำคัญ
โปรตีนไขมันดี ช่วยชะลอการปล่อยน้ำตาลหลังมื้ออาหาร
โปรตีนเป็นสารอาหารที่ช่วยให้อิ่มท้องได้นาน และเมื่อรับประทานควบคู่กับคาร์โบไฮเดรต จะช่วยชะลอการย่อยอาหารและการปล่อยน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด
- ปลาซาลมอน: มีโปรตีนสูงถึง 25 กรัมต่อ 100 กรัม และมีไขมันโอเมก้า 3 ที่ดีต่อหัวใจ
- ปลาทูน่า: โปรตีนประมาณ 22 กรัมต่อ 100 กรัม ช่วยรักษาระดับพลังงาน
- เต้าหู้: ให้โปรตีนประมาณ 8 กรัมต่อ 100 กรัม และเหมาะสำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อสัตว์
- ถั่วชนิดต่าง ๆ: เช่น อัลมอนด์และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ มีโปรตีน 5-7 กรัมต่อ 30 กรัม
อาหารหมักดองที่อุดมด้วยโพรไบโอติก เสริมสุขภาพลำไส้และควบคุมน้ำตาล
อาหารหมักดองเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่หลายคนอาจมองข้าม นอกจากช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้แล้ว ยังมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- กิมจิ: อุดมไปด้วยโพรไบโอติก ช่วยส่งเสริมการย่อยและการดูดซึมน้ำตาล
- โยเกิร์ต: เลือกแบบไขมันต่ำและไม่มีน้ำตาล เพิ่มโปรตีน 8-10 กรัมต่อถ้วย
- คีเฟอร์: เครื่องดื่มหมักที่มีโพรไบโอติกสูง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและปรับสมดุลลำไส้
การเพิ่มอาหารหมักดองในมื้ออาหารเป็นประจำ สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมน้ำตาลในเลือดและส่งเสริมสุขภาพลำไส้ที่ดี
เพื่อสุขภาพที่ดี เลือกอาหารลดน้ำตาลในเลือด มีอันไหนบ้างควรหลีกเลี่ยง
ไม่ใช่แค่การเลือกกินอาหารที่ดีเท่านั้นที่สำคัญ การหลีกเลี่ยงอาหารที่ส่งผลเสียต่อระดับน้ำตาลในเลือดก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการจัดการเบาหวาน มาดูกันว่าอาหารกลุ่มไหนที่ควรลดหรืองดเพื่อช่วยให้สุขภาพของคุณดีขึ้นในระยะยาว
น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตขัดสี ตัวการสำคัญของน้ำตาลพุ่ง
น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี เช่น น้ำตาลทราย ขนมปังขาว และข้าวขาว เป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงในเวลาอันสั้น
- น้ำอัดลม: มีน้ำตาลสูงถึง 35 กรัมต่อกระป๋อง (330 มล.) ซึ่งเกินปริมาณน้ำตาลที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
- ขนมปังขาว: ให้คาร์โบไฮเดรตประมาณ 13 กรัมต่อแผ่น และมีใยอาหารต่ำ ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งเร็ว
- เค้กและขนมหวาน: ไม่เพียงแต่น้ำตาลสูง แต่ยังมีไขมันแทรกซ้อน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน
อาหารเหล่านี้ไม่เพียงแค่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคหัวใจและโรคอ้วน ดังนั้นเพื่อป้องกันโรคเบาหวานชนิดต่าง ๆ ควรเลี่ยงการกินอาหารชนิดให้ได้มากที่สุด
ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ ศัตรูเงียบของหัวใจ
ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ไม่เพียงแต่เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือด แต่ยังทำให้หลอดเลือดอุดตัน เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน
- อาหารทอด: เช่น ไก่ทอดและเฟรนช์ฟรายส์ ให้พลังงานสูงถึง 400-500 กิโลแคลอรีต่อหนึ่งเสิร์ฟ และมีไขมันอิ่มตัวสูง
- ขนมอบที่ใช้มาการีน: เช่น ครัวซองต์และพาย มีไขมันทรานส์ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 25% หากบริโภคบ่อย
องค์กรอนามัยโลกแนะนำ ให้ลดปริมาณไขมันทรานส์ให้น้อยกว่า 1% ของพลังงานทั้งหมดต่อวัน หรือไม่เกิน 2 กรัมต่อวันสำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำตาลและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
อาหารแปรรูปและอาหารโซเดียมสูง ภัยเงียบต่อความดันโลหิต
อาหารแปรรูปและอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น ไส้กรอก แฮม และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มักมีทั้งเกลือและสารกันเสียที่ส่งผลเสียต่อระดับความดันโลหิตและสมดุลน้ำตาลในเลือด
- ไส้กรอกและแฮม: มีโซเดียมสูงถึง 1,000 มก. ต่อหนึ่งเสิร์ฟ ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณโซเดียมที่แนะนำต่อวัน (2,300 มก.)
- บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป: ให้โซเดียมประมาณ 1,500 มก. ต่อซอง และมักมีไขมันอิ่มตัวสูง
การบริโภคอาหารเหล่านี้ในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ยากขึ้น ถึงกระนั้น การหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องงดทุกอย่างแบบเด็ดขาด แต่อาจเริ่มจากการลดปริมาณและค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในอนาคตครับ
เคล็ดลับจัดมื้ออาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ให้สุขภาพดีทุกวัน
การจัดมื้ออาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานไม่จำเป็นต้องซับซ้อนหรือยุ่งยาก แค่รู้หลักการและวางแผนให้เหมาะสม ก็ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่ทำได้ง่าย ๆ
จัดจานง่าย ๆ แต่ได้สุขภาพ ด้วยวิธี Plate Method
Plate Method เป็นแนวทางจัดจานอาหารที่เข้าใจง่ายและทำตามได้ทันที โดยเน้นให้แต่ละมื้อมีสารอาหารครบถ้วนและสมดุล ลองปรับใช้วิธีนี้ดู รับรองว่าทั้งทำง่ายและช่วยให้มื้ออาหารแต่ละวันสมดุลมากขึ้น
- ครึ่งหนึ่งของจาน: เน้นผักที่ไม่ใช่แป้ง เช่น ผักใบเขียว (ผักโขม, คะน้า) แครอท บรอกโคลี หรือแตงกวา ผักเหล่านี้ให้ไฟเบอร์สูงแต่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
- หนึ่งในสี่ของจาน: โปรตีนคุณภาพดี เช่น อกไก่ ปลานึ่ง หรือเต้าหู้ โปรตีนช่วยชะลอการย่อยอาหารและช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
- หนึ่งในสี่ของจานที่เหลือ: คาร์โบไฮเดรตที่มีประโยชน์ เช่น ข้าวกล้อง ควินัว หรือมันหวาน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ
นับคาร์โบไฮเดรต เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในแต่ละมื้อ
Carb Counting เป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานคำนวณปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่บริโภคในแต่ละมื้อ เพื่อให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
- สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยาหรืออินซูลิน: ควรคำนวณคาร์โบไฮเดรตอย่างละเอียด เพราะปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่กินเข้าไปจะสัมพันธ์กับขนาดยาอินซูลินที่ใช้
- ปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่อมื้อที่แนะนำ: ประมาณ 45-60 กรัม ขึ้นอยู่กับความต้องการพลังงานของแต่ละคน ตัวอย่างเช่น ข้าวกล้อง 1 ถ้วยตวง มีคาร์โบไฮเดรตประมาณ 45 กรัม
การอ่านฉลากโภชนาการเป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญ ดูที่ “Total Carbohydrates” และหักลบด้วยปริมาณไฟเบอร์ จะได้ตัวเลขของ “Net Carbs” ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
เลือกอาหารจากค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index) เพื่อคุมระดับน้ำตาลหลังมื้ออาหาร
ดัชนีน้ำตาล หรือ Glycemic Index (GI) เป็นตัวเลขที่บอกว่าอาหารชนิดนั้น ๆ ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดเร็วหรือช้ามากน้อยแค่ไหน อาหารที่มีค่า GI ต่ำจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี การเลือกอาหารที่มีค่า GI ต่ำเป็นประจำพร้อมใช้เครื่องวัดน้ําตาลในเลือด ช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนของเบาหวาน เช่น โรคหัวใจและโรคไตได้อีกด้วย
- อาหาร GI ต่ำ (<55): เช่น ข้าวโอ๊ต (GI 55), แอปเปิล (GI 36), ถั่วลิสง (GI 14) ช่วยปล่อยพลังงานช้าและรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่
- อาหาร GI สูง (>70): เช่น ขนมปังขาว (GI 75) และน้ำอัดลม (GI 77) ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว
ปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ขึ้นอยู่แค่การเลือกอาหารเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอีกหลายด้าน หากปรับพฤติกรรมเหล่านี้ให้เหมาะสม จะช่วยเสริมให้การจัดการน้ำตาลในเลือดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญด้วยการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเผาผลาญน้ำตาลในเลือดและเพิ่มความไวของอินซูลิน เมื่อกล้ามเนื้อทำงาน จะช่วยให้ร่างกายดึงน้ำตาลจากกระแสเลือดมาใช้เป็นพลังงาน ลดความเสี่ยงของน้ำตาลสะสมเกิน
- การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินลดเบาหวาน วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ เป็นกิจกรรมที่ช่วยลดระดับน้ำตาลได้ดี โดยควรทำอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือประมาณวันละ 30 นาที
- การฝึกกล้ามเนื้อ เช่น ยกน้ำหนักหรือเล่นโยคะ ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายจัดการกับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้นในระยะยาว
การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องหนักหรือซับซ้อน เพียงเริ่มต้นจากสิ่งที่ทำได้และทำอย่างสม่ำเสมอ จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นในเรื่องของการควบคุมน้ำตาล
นอนหลับให้เพียงพอ ตัวช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน
การพักผ่อนที่เพียงพอ ไม่ได้ส่งผลดีแค่เรื่องของพลังงาน แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อคุณนอนน้อย จะทำให้ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมน้ำตาลในเลือด เช่น อินซูลิน และคอร์ติซอล แปรปรวน
- งานวิจัยพบว่าคนที่นอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน มีแนวโน้มที่จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าคนที่นอนหลับอย่างเพียงพอ
- การนอนหลับที่ดีควรอยู่ในช่วง 7-9 ชั่วโมงต่อคืน และควรเป็นการนอนที่ต่อเนื่องไม่ขาดตอน
การสร้างบรรยากาศในห้องนอน เช่น ปรับแสงและเสียงให้เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน จะช่วยให้คุณนอนหลับได้มีคุณภาพมากขึ้น
ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อรักษาความสมดุลของน้ำตาลในเลือด
น้ำ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของทุกระบบในร่างกาย รวมถึงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วย การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอช่วยลดความเข้มข้นของน้ำตาลในกระแสเลือด และป้องกันภาวะขาดน้ำที่อาจทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้น หากคุณไม่คุ้นเคยกับการดื่มน้ำในปริมาณมาก ลองพกขวดน้ำติดตัวไว้ หรือปรับพฤติกรรมดื่มน้ำทุกครั้งที่รู้สึกกระหาย เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน
- ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว หรือประมาณ 2-2.5 ลิตร ขึ้นอยู่กับกิจกรรมและสภาพอากาศ
- การดื่มน้ำเปล่าแทนเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลมหรือชาเย็น จะช่วยลดการบริโภคน้ำตาลที่ไม่จำเป็นและช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น
เมื่อพูดถึงโรคเบาหวาน หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงแล้ว การดูแลตัวเองด้วยการเลือกอาหารที่เหมาะสมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันนั้นสำคัญมาก เพราะเบาหวานไม่ได้กระทบแค่ระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อหัวใจ ไต ตา และระบบประสาทของเราในระยะยาว ด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่สมดุล ไม่ใช่แค่ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ คุณสามารถเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ อย่าง การเลือกข้าวกล้องแทนข้าวขาว หรือการเพิ่มผักในทุกมื้ออาหาร อาจดูไม่สำคัญในตอนแรก แต่ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง จะช่วยเปลี่ยนแปลงสุขภาพของคุณไปในทางที่ดีขึ้น เบาหวานไม่ใช่เรื่องเล็ก และการละเลยอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ใหญ่กว่าในอนาคต แต่สิ่งที่ดีคือ คุณสามารถเริ่มดูแลตัวเองได้ตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอให้สายเกินไป ลองค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อย แล้วคุณจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการตัดสินใจของคุณเอง
คำถามที่พบบ่อย
1. ผักชนิดใดที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน?
ผักที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน คือ ผักที่มีไฟเบอร์สูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำ เช่น บรอกโคลี, ผักโขม, คะน้า, และแตงกวา ผักเหล่านี้ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด และยังมีสารอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับเบาหวาน
2. ผู้ป่วยเบาหวานสามารถกินผลไม้ได้หรือไม่?
ผู้ป่วยเบาหวานสามารถกินผลไม้ได้ แต่ควรเลือกผลไม้ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น เบอร์รี่, แอปเปิล, ฝรั่ง, และส้ม การกินผลไม้ทั้งผลแทนการดื่มน้ำผลไม้ ก็ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่า เพราะมีไฟเบอร์ที่ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
3. อาหารที่มีไขมันดีมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดอย่างไร?
ไขมันดี เช่น ไขมันจากอะโวคาโด, ถั่ว, และน้ำมันมะกอก ช่วยชะลอการย่อยอาหารและการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่มากขึ้น นอกจากนี้ ไขมันดียังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน
4. ควรเลี่ยงอาหารชนิดใดเพื่อควบคุมเบาหวาน?
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตขัดสี เช่น น้ำอัดลม, ขนมปังขาว, และขนมหวาน รวมถึงอาหารที่มีไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวสูง เช่น อาหารทอดและขนมอบแปรรูป เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
อ้างอิง
- Jillian Kubala, 17 Foods to Lower Your Blood Sugar, Healthline, October 23, 2023, https://www.healthline.com/nutrition/foods-to-lower-blood-sugar
- Marc O’Meara, How to Control Blood Sugar With Diet, Massgeneralbrigham, November 29, 2023, https://www.massgeneralbrigham.org/en/about/newsroom/articles/how-to-control-blood-sugar-with-diet
- Diabetes diet: Create your healthy-eating plan, Mayo Clinic, June 11, 2024, https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/diabetes/in-depth/diabetes-diet/art-20044295